ReutersReuters

USA:"เอ็นวิเดีย"ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากเป็นอันดับ 4 ของโลก

28 ก.พ.--รอยเตอร์

  • บริษัทเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐ ได้ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากเป็นอันดับ 4 ของโลกในวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ. หลังจากราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 16.4% ในวันนั้น โดยเป็นผลจากการที่เอ็นวิเดียรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ บริษัทเอ็นวิเดียซึ่งถือเป็นบริษัทสำคัญในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปิดเผยผลประกอบการและแนวโน้มที่ดีเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเอ็นวิเดียรายงานในช่วงเย็นวันพุธที่ 21 ก.พ.ว่า รายได้ในไตรมาส 4/2023 อยู่ที่ 2.210 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.062 หมื่นล้านดอลลาร์ และเอ็นวิเดียคาดว่ารายได้ไตรมาสแรกของปีนี้อาจจะพุ่งขึ้น 233% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับ +208% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เป็นอย่างมาก โดยรายได้ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สูงมากในชิป AI ของเอ็นวิเดีย โดยรายงานผลประกอบการนี้ส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 16.4% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 2.77 แสนล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ค โดยสามารถทำลายสถิติเดิมที่บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์เคยทำไว้ในช่วงต้นเดือนนี้เมื่อมูลค่าตามราคาตลาดของเมตาทะยานขึ้น 1.96 แสนล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว

  • มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 7.402 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ และส่งผลให้เอ็นวิเดียครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นมากที่สุดในโลกในปีนี้ ทั้งนี้ ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดที่ 823.94 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ และมูลค่าตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียก็พุ่งขึ้นแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้ในระหว่างช่วงการซื้อขายในวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ด้วย ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงราว 8 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในบรรดาบริษัทสหรัฐ และใช้เวลาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่บริษัทแอปเปิลกับบริษัทไมโครซอฟท์เคยใช้ในการทะยานขึ้นจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์

  • หากนับจนถึงช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ. บริษัทที่ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากที่สุดในโลกก็คือไมโครซอฟท์ คอร์ป ซึ่งมีมูลค่า 3.0587 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 2 เป็นของแอปเปิล ซึ่งมีมูลค่า 2.8470 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 3 เป็นของซาอุดิ อาราเบียน ออยล์ โค ซึ่งมีมูลค่า 2.0650 ล้านล้านดอลลาร์ และอันดับ 4 เป็นของเอ็นวิเดีย ซึ่งมีมูลค่า 1.9635 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี ก่อนที่มูลค่าจะพุ่งขึ้นแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ และลดช่วงบวกลงสู่ 1.97 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงบ่ายวันศุกร์ ส่วนอันดับ 5 เป็นของอะเมซอนดอทคอม ซึ่งมีมูลค่า 1.8134 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี, อันดับ 6 เป็นของแอลฟาเบท ซึ่งมีมูลค่า 1.7985 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 7 เป็นของเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งมีมูลค่า 1.2393 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 8 เป็นของเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ซึ่งมีมูลค่า 9.008 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 9 เป็นของอีไล ลิลลี แอนด์ โค ซึ่งมีมูลค่า 7.313 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 10 เป็นของเทสลา ซึ่งมีมูลค่า 6.287 แสนล้านดอลลาร์หากนับจนถึงช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ.

  • ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 60% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากราคาหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้นจากระดับราว 146 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2022 สู่ 495 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2023 ซึ่งเท่ากับว่าราคาหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้นเกือบ 240% ในปี 2023 นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นเอ็นวิเดียในปี 2024 ก็ครองสัดส่วนสูงกว่า 25% ของการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้ด้วย ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นมาปิดตลาดที่ 5,088.8 ในวันศุกร์ที่ 23 ก.พ. ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่

  • ถึงแม้ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งสูง มูลค่าหุ้นของเอ็นวิเดียก็ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการที่นักวิเคราะห์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรของเอ็นวิเดีย โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นเอ็นวิเดียในตอนนี้อยู่ที่ราว 31 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยดิ่งลงจากระดับ 49 เท่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งนี้ นายไบรอัน โคเลลโล นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทมอร์นิงสตาร์ระบุว่า "เราคาดว่ารายได้ของเอ็นวิเดียจะพุ่งขึ้นราว 2 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสจนถึงสิ้นสุดปีงบดุลบัญชี 2025 ในขณะที่มีการผลิตชิปมากยิ่งขึ้น"--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

Accedi o crea un account gratuito per leggere queste notizie

Altre notizie da Reuters

Più notizie